ตัวอย่างวิกผม

ตัวอย่างก่อนทำ



แบบผมสั้น

สามารถเพิ่มปริมาณผมขาวได้ตามต้องการ หากเส้นผมจริงบนศรีษะมีผมขาวแซม

แบบผมยาว








ลักษณะแสกผมและหนังศรีษะ ใกล้เคียงเหมือนธรรมชาติ

แผนที่ร้าน REKO


คลิกดูภาพขนาดใหญ่

เฉดสีผม


มีให้เลือกหลายเฉดสี หลายขนาด โดยเทียบสีและขนาดเส้นผมกับผมจริงของลูกค้า จึงกลมกลืนดูเนียนเข้ากับผมจริง หรือทำสีตามต้องการ ( คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ )

เส้นผม & หนังศีรษะสัมพันธ์กันอย่างไร?

เส้น ผม ของคนเราถือเป็นมงกุฎวัฒนะที่ธรรมชาติให้มาตั้งแต่แรกเกิด เส้นผมเป็นส่วนปรกอบส่วนหนึ่งของสรีระร่างกายมนุษย์ การที่เส้นผมจะอยู่ได้อย่างมั่นคงบนศีรษะของเราได้ก็ต้องมีสารอาหารเข้าไป บำรุงอย่างต่อเนื่อง
โดยเส้นผมรับสารอาหารทางรากผมโดยดูดซึมสารอาหารต่างๆทางโลหิตหรือทางเส้น เลือดฝอยนั่นเอง เส้นผมเป็นสารประเภทโปรตีนโดยปกติจะมีความทนทานและแข็งแรง
เส้นผมมีความสัมพันธ์กับหนัง ศีรษะของเราชนิดแยกกันไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีหนังศีรษะหรือหนังศีรษะไม่สมบูรณ์ เส้นผมก็ไม่สามารถงอกขึ้นมายลโฉมให้งดงามสง่าได้
เส้นผมเป็นองค์ประกอบเติมเต็มส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่ธรรมชาติให้ติดตัวมา ตั้งแต่กำเนิด คนที่ไม่มีผมก็เหมือนไก่ที่ไม่มีขน ซึ่งจะหมดความสวยงามและเอกลักษณ์ไป
เส้นผมจะอยู่กับหนังศีรษะได้ ก็ต่อเมื่อสภาพหนังศีรษะสมบูรณ์มีสุขภาพที่ดีจริงๆ คือไม่มีปัญหาต่างๆมารบกวนผิวหนังศีรษะ
แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงเข้ามารบกวนหนังศีรษะเมื่อใด ก็อาจจะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของเส้นผมอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบมีมากมายทั้งสารเคมีและสภาวะสิ่งแวดล้อมที่ เป็นพิษที่อยู่รอบๆตัวของเรา
แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายอย่างที่อยู่ภายในตัวของเรา หนึ่งในหลายๆอย่างที่เป็นปัจจัยเสี่ยงก็คือ
1. สภาวะของไขมันที่มีมากจนเกินไป
2. สภาวะของไขมันที่มีน้อยเกินไป
ไขมันเกิดจากการสันดาปปฏิกิริยาทางเคมีภายในร่างกายของเราทุกคน จากขบวนการดังกล่าวนี้จะทำให้เกิดของเสียต่างๆ หนึ่งในนั้นคือไขมัน ซึ่งจะถูกขับออกมาตามช่องทางต่างๆทั่วร่างกาย
รูขุมขนบนหนังศีรษะคืออีกช่องทางหนึ่งที่ร่างกายขับของเสียออกทางนี้ ซึ่งของเสียที่ขับออกทางนี้มีทั้ง ไขมัน เกลือ ยูเรีย เป็นต้น บางชนิดก็มีประโยชน์ เช่น ไขมัน ช่วยหล่อเลี้ยงหนังศีรษะให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ
ถ้าขาดซึ่งไขมันก็จะทำให้ผิวหนังศีรษะแห้งแตกกระง่าย แต่ไขมันดังกล่าวถ้ามีในปริมาณที่มากเกินความต้องการของผิวหนังศีรษะ ก็อาจก่อให้เกิดโทษได้
การสะสมของไขมันมากๆ ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนซึ่งเป็นทางเดินของเส้นผมบนหนังศีรษะได้ง่าย เส้นผมอ่อนก็จะงอกขึ้นสู่ผิวหนังศีรษะไม่ได้ ปริมาณผมก็จะน้อยลงเรื่อยๆ
โดยทั่วไปผมของคนเราจะร่วงทุกๆวัน แต่ถ้าอัตราร่วงมากกว่าอัตรางอก ก็จะเข้าสู่ภาวะศีรษะบางหรือล้านในที่สุด เนื่องจากไขมันที่ร่างกายขับออกมาทางรูขุมขนเป็นไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัว
สามารถย่อยสลายอีกได้ ดังนั้นจึงถูกแบคทีเรียที่มีอยู่ทั่วไปในอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาย่อย สลายกลายเป็นของเสีย ( กรดอ่อนๆ ) และของเสียเหล่านี้จะไปทำลายรากโคนผมให้เน่าเสีย
ทำให้รากผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายขึ้น เชื้อแบคทีเรียที่หมักหมมนานๆอาจทำให้เกิดสภวะคันศีรษะ และการอักเสบตามผิวหนังศีรษะได้
ถ้าว่าไปแล้วศีรษะของเราก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรานั่นเอง ดังนั้นจึงหมั่นทำความสะอาดผิวหนังศีรษะและเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากไขมันเหล่านี้ ยังมีเกลือ และยูเรีย ที่มีผลกระทบต่อเส้นผม สภาวะหนังศีรษะแห้งหรือผมแห้ง เกิดจากปริมาณไขมันที่ร่างกายขับออกมาน้อยจนเกินไป
ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวหนังศีรษะแห้งไม่มีสารไขมันหล่อเลี้ยงได้เพียงพอ ทำให้เส้นผมขาดความสมบูรณ์และชุ่มชื้นไปด้วย เส้นผมอาจเล็กและลีบลงเรื่อยๆ แคระแกรน ผิวหนังศีรษะที่แห้งอาจกลายเป็นรังแคได้ในที่สุด
การสระผมไม่ควรใช้แชมพูที่มีสารรุนแรง เพราะจะทำให้ผิวหนังศีรษะแห้งมากขึ้นและทำลายเส้นผมได้ง่ายๆ ควรใช้ออยจากพืชช่วยบำรุง เช่น น้ำมันมะกอก เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ทั้งเส้นผมและหนังศีรษะต่างมีความสำคัญทั้งคู่ ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งไม่สมบูรณ์หรือมีปัญหา อีกส่วนหนึ่งก็จะมีปัญหาตามไปด้วย
ดังนั้นจึงต้องหมั่นดูแลทั้ง 2 ส่วนอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งกรณีผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะมัน ( ผมมัน ) และผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะแห้งต้องดูแลสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมเป็นกรณี พิเศษอย่างใกล้ชิด
รักเส้นผม ต้องหมั่นดูแลและรักษาเส้นผมอย่างต่อเนื่อง อย่านำสิ่งแปลกปลอมหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อเส้นผมเข้ามาในสารบบ

สาระน่ารู้ . . . ผมร่วง

ผมเส้นเล็กๆ ที่อยู่บนศีรษะของเรานั้นมีหน้าที่หลัก คือควบคุมการกระจายความร้อนของร่างกาย และปกป้องผิวที่บอบบางบริเวรหนังศีรษะให้สุขภาพดี
โดยโครงสร้างของเส้นผมบนศีรษะประกอบด้วยเส้นผมโดยประมาณ 100,000 เส้น ส่วนการเจริญเติบโตของเส้นผมโดยเฉลี่ยจะงอกยาวขึ้นประมาณ 0.3 – 0.4 มม. ต่อวัน หรือ 1 ซม.ในหนึ่งเดือน
โดยมีลำดับขั้นต่างๆ ในการเจริญเติบโต โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา
1. ช่วงแรก Anagen phase คือ ช่วงเวลาการเจริญเติบโตของเส้นผม ซึ่งจะดำเนินเป็นไปอย่างปกติต่อเนื่อง 5 – 6 ปี (อาจเรียกว่าช่วงเจริญวัยของเส้นผม) แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้นระยะนี้จะสั้นลง
2. ช่วงที่สอง Catagen phase คือ ช่วงเวลาเสื่อมสภาพ หรือช่วงหยุดการเจริญเติบโต ระยะนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเส้นผมจะหยุดการทำงานนานประมาณ 1 สัปดาห์
3. ช่วงสุดท้าย Telogen phase คือ ช่วงเวลาฟักตัว หรือช่วงรอยต่อระหว่างผมที่กำลังจะหลุดร่วง กับผมใหม่ที่กำลังเกิดเข้ามาทดแทน ซึ่งระยะนี้จะใช้เวลาประมาณทั้งหมด 3 เดือน
เมื่อผมใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างเต็มที่ ผมเส้นเก่าที่ถึงช่วงเวลาของอายุก็จะหลุดร่วงออกไปนั่นเอง
ดังนั้นเส้นผมหนึ่งเส้นจึงมีอายุยืนยาวไปได้นานประมาณ 5 – 6 ปี เมื่อถึงอายุขัย เส้นผมก็จะหลุดร่วงออกมาตามธรรมชาติ และผมเส้นใหม่ก็จะขึ้นมาทดแทน ซึ่งเรียกว่าวงจรชีวิตของเส้นผมนั่นเอง
และที่จริงโดยปกติผมของคนเราจะร่วงประมาณ 70 เส้นถึง 120 เส้นต่อวัน หากร่วงกว่า 120 เส้นขึ้นไป นั่นคือคุณกำลังเผชิญกับสภาวะผมร่วง
สาเหตุหลักของผมร่วงเกิดจาก
1. กรรมพันธุ์ เป็นลักษณะการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรม อาจไม่เกิดกับพี่น้องทุกคน ลักษณะศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์จะเริ่มบางจากด้านหน้า เข้าไปจนถึงกลางกระหม่อม
2. อายุ เมื่อเราอายุมากขึ้นเซลล์ผม และน้ำหล่อเลี้ยงบนหนังศีรษะลดน้อยลงผมขาดความแข็งแรง จึงหลุดร่วงได้ง่าย
3. แพ้สารเคมี ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ตกแต่งเส้นผมกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์แต่งผมเหล่านี้จะมีสารเคมี ที่มีความเป็นกรดเป็นด่างสูง
เมื่อใช้เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดการสะสม มีผลต่อหนังศีรษะและรากผม บางรายเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจทำให้ผมร่วง ผมบางทั้งศีรษะ

บาปหนัก 7 ประการ กรุณาเลิกด่วน

1. คุณไม่ควร หวังสีผมสวยโดยไม่ทำอะไร
ใครๆ ก็อยากมีสีผมสวยสดใสราวกับเพิ่งทำสีออกจากร้านสดๆ ร้อนๆ แต่โชคร้ายว่าสีผมสวยสดใสแบบนั้นน่ะไม่มีวันอยู่กับคุณได้ตลอดไปถ้าคุณไม่ดูแลใส่ใจอย่างจริงจัง สีผมทุกยี่ห้อจะค่อยๆ ซีดจาง และดูหมองไปตามวันเวลา แต่คุณสามารถช่วยได้ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผมทำสีโดยเฉพาะ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะมีส่วนผสมที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับสารเคมีในสีผม ช่วยให้สีผมสว่างสดใส และดูสดใหม่ได้นานกว่าหลายเท่านอกจากนี้ ผมที่มีสุขภาพดีจะสามารถยึดเกาะสีให้ติดแน่นได้มากกว่าผมแห้งเสีย ดังนั้นคุณต้องบำรุงเส้นผมด้วยคอนดิชันเนอร์รุ่นบำรุงล้ำลึกเป็นประจำด้วย เพื่อสีผมที่สวยสดใสตลอดไป
2. คุณไม่ควร ใช้เครื่องมือราคาถูก
รู้ค่ะว่าเงินน่ะหายาก แต่อยากให้คุณลงทุนสักหน่อยกับแปรงหวีผมดีๆ สักอัน ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะการแปรงผมด้วยแปรงดีๆ นั้นจะช่วยทำให้เส้นผมของคุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาหล่อเลี้ยงเส้นผม ข่วยให้เส้นผมเป็นมันเงาไม่ฟุ้งฟูและจัดทรงได้ง่ายยิ่งขึ้น ถ้าจะให้เด็ดลองหาแปรงที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดแรงเสียดทานในการหวีผม และยังช่วยลดความเครียดให้กับเส้นผมและหนังศีรษะอีกด้วย และท้ายสุดอย่าลืมทำความสะอาดหวีและแปรงของคุณอย่างเป็นประจำด้วย
3. คุณไม่ควร ใช้หนังยางรุ่นดึก
ช่วงนี้ฮิตเป็นพิเศษกับการรวบหางม้าเป็นสปริงเด้งดึ๋งตามแคทวอล์คแฟชั่น เราจึงอยากเตือนคุณว่าอย่าได้หลับหูหลับตาหยิบหนังสติ๊กมัดถุงกับข้าวมามัดผมเป็นอันขาด เพราะหนังยางประเภทนั้นจะดึงเส้นผมให้ฉีกขาด
แถมยังทำลายเกล็ดผมอีกด้วย ดังนั้นสาวผมยาวทั้งหลายที่ชอบมัดผม ควรหาซื้อหนังยางที่ผลิตสำหรับเส้นผมโดยเฉพาะมาติดกระเป๋าอยู่เสมอเผื่อฉุกเฉิน หรือใช้ที่มัดผมโดนัทที่มีผืนผ้าห่อหุ้มอยู่ด้านนอกในการมัดผม แค่นี้ก็จะช่วยป้องกันปัญหาผมพันติดหนึบกับหนังสติ๊ก พาลให้ผมขาดวิ่น หรือต้องตัดผมเลยก็เป็นไปได้
4. คุณไม่ควร ใช้ผลิตภัณฑ์ผิด
อย่าเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพียงเพราะแพ็คเกจที่สะสวย ดูดีมีสไตล์ การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อความงามทั้งผิวและผม นั้น ต้องเลือกที่คุณสมบัติเป็นหลักโดยเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและสภาพผมของเรา แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่พวกเรามักต้องเจอ คือ คำบรรยายสรรพคุณสุดเว่อร์และสับสนบนฉลากทำให้เราต้องเวียนหัวทุกครั้งที่ไปช้อปปิ้งด้วยตัวเอง ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกจะเหมาะกับเส้นผมของคุณ และได้ผลดีจริงๆ เราขอแนะนำให้คุณสอบถามจากช่างผมของคุณจะดีกว่า แต่ถ้าอยากทดลองให้รู้ด้วยตัวเอง ควรซื้อไซส์ทดลองมาใช้ในคราวแรก ถ้าใช้แล้วดีค่อยลงทุนซื้อไซส์ใหญ่มาใช้ในคราวถัดไป
5. คุณไม่ควร รุนแรงกับผมเปียก
เชื่อได้เลยว่าใครที่ไหนก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ รีบๆ สระผม แล้วก็เอาผ้าขนหนูเช็ดถูอย่างเมามัน สางผมด้วยหวีเร็วๆ แล้วก็รีบออกจากบ้านไปเพื่อแข่งกับเวลา แต่ความจริงแล้วการหวีผมเมื่อผมเปียกนั้นนับเป็นการทำร้ายเส้นผมอย่างรุนแรงมาก แถมการเช็ดถูผมด้วยผ้าขนหนูยังเป็นการทำให้เกล็ดผมเปิดออกอีก ส่งผลให้เส้นผมฟุ้งกระจายไร้ทิศทางจัดยังไงก็ดูไม่เข้าทรง วิธีที่ถูกต้องก็คือ ค่อยๆ ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำแล้วบีบเบาๆ ให้ผมแห้งหมาด จากนั้นใช้หวีซี่ห่างสางผมออกจากกัน แค่นี้เส้นผมก็ยิ้มได้แล้ว
6. คุณไม่ควร โหมใช้ของร้อน
ความร้อนจากการใช้ไดร์เป่าผมและเครื่องรีดผมเป็นประจำนับเป็นอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับเส้นผม และเห็นผลเร็วยิ่งกว่าสิ่งใด เส้นผมของคุณจะดูหมองในพริบตา แถมยังแห้งเสียไม่เข้าท่าได้อย่างเร็วทันใจ ถ้าเลี่ยงการไดร์ผมไม่ได้จริงๆ พยายามรักษาระยะห่างประมาณ 1 ช่วงแขนห่างจากศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นผมรับความร้อนมากเกินไป ความร้อนยังนำพาความชุ่มชื้นออกจากเส้นผมด้วย ดังนั้นคุณจึงควรใส่คอนดิชันเนอร์แบบไม่ต้องล้างออกลงบนเส้นผมทุกครั้งก่อนการใช้ความร้อนเพื่อป้องกันเส้นผมแห้งแตกปลายได้อีกทาง
7. คุณไม่ควร เลื่อนนัดช่างผม
คุณควรเข้าร้านเพื่อพบกับช่างทำผมเป็นประจำทุกๆ 8-12 สัปดาห์เพื่อให้ช่างช่วยเล็มปลายผมออก เพราะปลายผมมักจะอ่อนแอมากกว่าโคนผม การได้รับความร้อนหรือสารเคมีต่างๆ ก็จะทำลายปลายผมมากกว่าโคนผม การเล็มออกเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดผมแตกปลายได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคุณจะกำลังไว้ผมยาวก็ไม่ควรหยุดเล็มผม เพียงแค่คุณบอกกับช่างผมว่าคุณกำลังเลี้ยงผมยาว ช่างผมจะช่วยเล็มปลายเพื่อรักษาทรงให้กับคุณ เพื่อให้ผมของคุณยังดูเป็นทรงสวย ไม่ดูโทรมเกินไปและยังช่วยรักษาสุขภาพผมให้ดีอยู่เสมอด้วย

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Hair ฉบับภาษาไทย

รังแค...คืออะไร

รังแค คือ ขุยขาวที่หลุดลอกออกมาจากหนังศีรษะ อาจจะติดอยู่ที่บริเวณโคนผมบนเส้นผม หรือร่วงลงมาเกาะบนเสื้อผ้าบริเวณต้นคอหรือไหล่ ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากขึ้นเวลาใส่เสื้อสีเข้มทำ
ให้เกิดความเข้าใจว่าบุคคลผู้มีรังแคนั้นมีสุขภาพหนังศีรษะไม่ดี หรือดูแลสุขภาพได้ไม่ดีผลพวง ที่ตามมาคือทำให้บุคคลที่มีรังแคนั้นเสียบุคลิกและขาดความมั่นใจไปได้
รังแคเกิดจากความผิดปกติในการแบ่งตัวและหลุดลอกของเซลล์ชั้นหนังกำพร้าของหนัง ศีรษะซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อราแบบกลากที่หนังศีรษะ
การเป็นโรคสะเก็ด เงินหรือที่เรียกว่า โซไรสิส (Psoriasis) การแพ้สารเคมีที่สัมผัสหนังศีรษะ เช่น แพ้น้ำยาย้อมผม น้ำยาดัดผม เป็นต้น
แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด คือ การเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือผิวหนังอักเสบ ที่ศีรษะแบบที่เรียกว่า เซ็บเบอริก เดอมาไตติส (Seborrheic dermatitis) ซึ่งอาจจะเป็นเพียงเล็ก น้อย คือมีแค่รังแคเท่านั้น
หรือมีอาการอักเสบมากขึ้นจนมีอาการคันหรือมีผื่นแดงด้วย ซึ่งอาจจะ ลามออกมานอกบริเวณหนังศีรษะ มาที่ใบหน้าหรือตามตัวได้
เมื่อเกิดรังแคขึ้นหลายคนอาจกังวลใจ เพราะอยากขจัดรังแคให้สิ้นไป แน่นอนที่สุดว่าเรา ควรจะรักษาสาเหตุของรังแคให้ถูกกับสาเหตุที่แท้จริง
ซึ่งในกรณีนี้เราต้องไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของรังแคของเรา แต่ในกรณีที่เป็นรังแคไม่มากนัก โดยเฉพาะไม่มี ผื่นผิวหนังอื่นร่วมด้วย
การลองใช้แชมพูขจัดรังแคดูก่อนก็เป็นทางเลือกที่ดีโรคผิวหนังอักเสบ แบบอ่อน ซึ่งพบบ่อยที่สุด อาจดีขึ้นได้เมื่อใช้แชมพูที่เหมาะสม เมื่อลองใช้ดูสักระยะหนึ่ง
ถ้ายังไม่ ดีขึ้นจึงค่อยไปพบแพทย์ก็ได้ เพราะอาจเป็นโรคผิวหนังอักเสบแบบรุนแรง หรือเป็นโรคผิวหนัง อื่นที่ควรให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและรักษา
แชมพูขจัดรังแคในท้องตลาดมีหลายชนิด ซึ่งมีสรรพคุณแตกต่างกันออกไปบางชนิดเช่น
แชมพูน้ำมันดิน(Tar Shampoo) ซึ่งมีกลิ่นออกฉุนๆ มีสาร ที่ลดการแบ่งตัวของเซลล์หนังศีรษะ
แชมพูที่มีสารเซเลเนียมซัลไฟด์ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อในท้องตลาด
แชมพูบางอย่างมีสารที่ลดจำนวนยีสต์ บนหนังศีรษะ ซึ่งมีวัตถุออกฤทธิ์เป็นสารพวกซิงค์ ไพริไทออน หรือคีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
ซึ่งอาจได้ผลดีในรายที่มีเชื้อราเข้ามามีส่วนทำให้เพิ่มความรุนแรงของโรคผิวหนังอักเสบ
วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการนำตัวยา Ketoconazole (คีโตโคนาโซล) ซึ่งมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อราที่อยู่ที่รากผมผสมลงในแชมพูขจัดรังแค
ที่สำคัญคือ คีโตโคนาโซล สามารถซึมผ่านผิวหนังชั้นบน ซึ่งมีการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วโดยจะไม่มีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด แม้ว่าผิวหนังบริเวณนั้นจะมีบาดแผลก็ตาม
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ คีโตโคนาโซล จะยึกติดกับเส้นผมได้หลายวัน จึงมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้นาน ให้ผลในการรักษารังแคได้ดีกว่าตัวยาชนิดอื่นๆ เรียกว่าเป็นการแก้ไขกันที่ต้นเหตุเลย
เมื่อใช้แชมพูเหล่านี้สระผมก็ควรทิ้งให้ตัวยาในแชมพูสัมผัสหนังศีรษะสักระยะหนึ่ง อาจเป็น เวลาประมาณ 5 นาทีก็ได้
ดังนั้นผู้ที่ชอบอาบน้ำสระผมอย่างรวดเร็วเหมือนกับวิ่งผ่านน้ำก็คงต้องอด ใจใช้เวลากับการสระผมสักครู่หนึ่ง และการสระผมก็ควรให้ตัวยาสัมผัสหนังศีรษะ โดยการขยี้และ เกาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะการเกามากๆ อาจเป็นการกระตุ้นให้การอักเสบบนหนังศีรษะเป็น มากขึ้นได้ และเมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วก็ล้างแชมพูออกจากเส้นผมและหนังศีรษะให้หมด
ในระยะ แรกท่านอาจสระผมบ่อยหน่อย คือทุกวัน หรือวันเว้นวันก็ได้ตามความเหมาะสม และเมื่อดีขึ้นแล้วก็ สระผมให้ถี่ห่าง ตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน